Custom Search

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

อย่าโทษข้าวโพดคั่ว/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ



อย่าโทษข้าวโพดคั่ว

พูดถึงข้าวโพดคั่ว คนส่วนใหญ่มักคิดถึงแต่ด้านลบ ทั้งที่จริง ข้าวโพดคั่วไม่ได้ทำอะไรผิด ซ้ำมีคุณค่าทางอาหาร แถมช่วยต้านโรคร้ายอีกด้วย

ถึง ข้าวโพดคั่ว จะเป็นของขบเคี้ยวที่ได้รับความนิยมแพร่หลายและเป็นของโปรดของคนทั่วโลก แต่ถ้าพูดถึงโภชนาการของอาหารว่างชนิดนี้ คนส่วนใหญ่กลับพากันเบือนหน้าหนีเพราะคิดถึงกันแต่ด้านลบ ทั้งที่จริงแล้ว ข้าวโพดคั่วไม่ผิด

ก่อนจะไปถึงเรื่องคุณค่าด้านโภชนาการ ข้าวโพดคั่วยังมีความเป็นมาที่น่าสนใจนับแต่อดีต ซึ่งมีข้อมูลว่าเจ้าข้าวโพดคั่วถูกค้นพบและกลายเป็นของกินของมนุษย์มาตั้งแต่พันปีที่แล้ว โดยมีพยานหลักฐานเป็นหม้อดินโบราณของชนพื้นเมืองในแถบอเมริกาใต้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเครื่องคั่วข้าวโพดของยุคนั้น พิจารณาดูแล้วคาดว่าคงใช้วิธีหมกหม้อทั้งใบลงในทรายที่ร้อนจัด ก่อนโรยเมล็ดข้าวโพดลงไปแล้วปิดฝา แล้วความร้อนจากทรายก็คงจะอบให้เมล็ดข้าวโพดระเบิดตูมตามกลายเป็นข้าวโพดคั่วฟูขาวน่ากิน

กว่าข้าวโพดคั่วจะกลายเป็นของว่างยอดฮิต และเริ่มมีการผลิตเป็นการค้าอย่างจริงจังก็ในราวทศวรรษ 1890 ซึ่งมีการผลิตเครื่องทำข้าวโพดคั่วขนาดใหญ่ที่ใช้เตาน้ำมันเบนซินไปคั่วขายกันตามงานแห่และงานเทศกาลต่างๆ ก่อนจะถูกปลุกกระแสอีกครั้งเมื่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ถือกำเนิดและเติบโตฉุดไม่อยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยยุคแรกๆ ตู้ข้าวโพดคั่วขยับตามไปให้บริการอยู่แถวหน้าโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะบริเวณด้านนอกตัวอาคาร จากนั้นจึงค่อยๆ รุกคืบเข้าไปควบรวมกิจการกับโรงหนังอย่างแนบเนียน กลายเป็นวัฒนธรรมการดูหนังที่มีเครื่องเคียงเป็นข้าวโพดคั่วซึ่งขยายตัวและได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงเป็นอาหารว่างในวัฒนธรรมบันเทิงอเมริกัน ในด้านเศรษฐกิจ เมล็ดข้าวโพดที่นำไปทำข้าวโพดคั่วก็เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของสหรัฐ โดยมีแหล่งผลิตหลัก ได้แก่ มลรัฐอิลลินอยส์ อินเดียนา ไอโอวา แคนซัส เคนตั๊กกี้ มิชิแกน มิสซูรี เนแบรสกา และโอไฮโอ ซึ่งปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งถึงช่วงต้นทศวรรษ 1990 ที่กระแสห่วงใยสุขภาพมาแรง ข้าวโพดคั่วถึงได้เจอข้อหาเป็นภัยต่อร่างกาย ถึงขั้นที่นักวิจัยด้านโภชนาการจาก Center of Science in the Public Interest ออกมาชี้ตัวว่า ในโรงหนังนี่ที่ร้ายกว่า 'เฟรดดี้ ครูกเกอร์' หรือ 'เจสัน' จอมจิตตกชื่อดังของยุคนั้น ก็ได้แก่ วายร้ายข้าวโพดคั่ว ที่พกพาไขมันอิ่มตัวมาจนเต็มพิกัด อันเป็นตัวการสำคัญให้ชาวอเมริกัน รวมทั้งผู้บริโภคทั่วโลกมีระดับคอเลสเตอรอลพุ่งกระฉูด และเกิดอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือด ทำเอาผู้ผลิตในอุตสาหกรรมข้าวโพดคั่วยอมไม่ได้ พากันรวมตัวตั้งเป็นสมาคมเพื่อหาข้อมูลออกมาตอบโต้ และทำสงครามข้อมูลสุขภาพกับบรรดานักวิจัยด้านอาหารเป็นการใหญ่




เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.โจ วินสัน นักเคมีจากมหาวิทยาลัยสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย เปิดเผยรายงานผลการศึกษาวิจัยว่าด้วยอาหารกินเล่น รวมทั้งธัญพืชแปรรูปชนิดต่างๆ โดยยืนยันว่าข้าวโพดคั่ว รวมทั้งอาหารที่ทำจากธัญพืชในรูปแบบต่างๆ นั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง โดยเฉพาะส่วนประกอบสารอาหารที่รู้จักกันดีอย่าง โพลีฟีนอล (Polyphenol)



โดย 'โพลีฟีนอล' ถือเป็นสารประกอบที่อยู่ในอาหารหลายจำพวกที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต ไวน์ กาแฟ หรือชา รวมทั้งในผักผลไม้อย่างผลเบอร์รีหลากชนิด องุ่น วอลนัท ฯลฯ ซึ่งเจ้าสารตัวนี้มีส่วนในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดตีบและแข็งตัว โรคมะเร็งบางชนิด รวมทั้งโรคอัลไซเมอร์ ไขข้ออักเสบ ฯลฯ โดยไปช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ บรรดาของกินที่นำมาศึกษาวิจัย ข้าวโพดคั่วมีระดับของโพลีฟีนอลสูงที่สุด รวมทั้งมีใยอาหารมากกว่าของขบเคี้ยวประเภทอื่นๆ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ถึงข้าวโพดคั่วจะพ้นผิด แต่ต้องไม่ลืมว่าข้าวโพดคั่วหอมน่ากินร้อยทั้งร้อย ไม่ได้มาเดี่ยวๆ แต่มักจะหมายความถึงข้าวโพดคั่วอบเนย ข้าวโพดคั่วเคลือบน้ำตาล ช็อกโกแลต คาราเมล์ กับอีกหลายรส ในเมื่อข้าวโพดไม่ผิด อย่างนั้นตัวการก็ต้องเป็นเจ้าเนย น้ำตาล ช็อกโกแลต คาราเมล์ ฯลฯ

หรือจริงๆ แล้ว คุณและโทษของอาหารอยู่ที่การเลือกรับประทานอย่างพอเหมาะพอดี


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น