Custom Search

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

คึ่นไฉ่ ผักสมุนไพรช่วยคุมกำเนิด ฤทธิ์และประโยชน์ทางยาของคึ่นไฉ่



คึ่นไฉ่ ผักสมุนไพรช่วยคุมกำเนิด ฤทธิ์และประโยชน์ทางยาของคึ่นไฉ่

1. ลดปริมาณการสร้างอสุจิ และลดอัตราการตั้งท้อง
จากการวิจัยพบว่า ต้นคึ่นไฉ่และเมล็ดคึ่นไฉ่ มีฤทธิ์ลดปริมาณเชื้ออสุจิในสัตว์ทดลองตัวผู้ และลดอัตราการตั้งท้องของสัตว์ตัวเมีย
ได้มีการทดลองในคนโดยให้ชายไทย 7 คน รับประทานคึ่นไฉ่ในรูปอาหาร คนละ 85 กรัม/วัน พบว่าจำนวนอสุจิลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ ในเวลาต่อๆมาจำนวนอสุจิจะลดลงอีกเล็กน้อย และจะคงที่ในระดับหนึ่ง หลังจากหยุดรับประทาน 5-8 สัปดาห์ พบว่ามี 4 คนกลับคืนสู่สภาพปกติ อีก 3 คน ยังคงมีจำนวนอสุจิต่ำกว่าเมื่อก่อนรับประทานคึ่นไฉ่ ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดน่าจะเป็นฤทธิ์ในการลดอัตราการตั้งท้องในสัตว์ตัวเมีย สำหรับฤทธิ์การลดจำนวนอสุจินั้น อาจจะไม่พอเพียงที่จะคุมกำเนิดได้

2. ลดความดันโลหิต
การวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า น้ำต้มคึ่นไฉ่สามารถลดความดันโลหิตได้ภายใน 1 ชั่วโมง และฤทธิ์อยู่ได้นานกว่า 5 ชั่วโมง

3. ช่วยขับลม ขับปัสสาวะ
น้ำมันหอมระเหยในลำต้นและใบ มีฤทธิ์ช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ ทำให้หายจุกเสียดแน่น และพบว่าคึ่นไฉ่ยังมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะได้เล็กน้อยอีกด้วย


โลหะผสมในเครื่องประดับ
ตะกั่วเป็นโลหะหนักสีเงินเทา มีคุณสมบัติอ่อนตัว จุดหลอมเหลวต่ำ สามารถดัดเป็นรูปร่างต่างๆ ได้ ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากมายและมีการนำโลหะตะกั่วมาผสมกับโลหะอื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการทำเครื่องประดับเทียม เช่น เครื่องประดับทองเหลือง เครื่องประดับที่มีการเคลือบสีลงยา และเครื่องประดับพลาสติก

ซึ่งท่านทราบกันหรือไม่ว่า สารตะกั่วสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี ทั้งทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารตะกั่วจากทางเดินอาหารได้ 11% ในผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กจะดูดซึมได้ถึง 30-75% จะเห็นได้ว่า หากมีสารตะกั่วในอาหาร ทางเดินอาหารของเด็กจะดูดซึมได้ดีมาก เด็กที่ขาดสารอาหาร เช่น ขาดธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม จะเพิ่มการดูดซึมสารตะกั่ว ส่วนทางเดินหายใจ ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ 50% ทางผิวหนังจะดูดซึมสารตะกั่วได้เล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี ดังนั้นจึงได้มีข้อกำหนดให้มีปริมาณโลหะตะกั่วในเครื่องประดับเป็นไปตามหน่วยงานของ US Consumer Product Safety Commission's (CPSC) Enforcement Standard (2005A) โดยสามารถให้มีปริมาณตะกั่วในเครื่องประดับได้ไม่เกิน 600 ppm หรือ 0.06% ถ้ามากกว่าที่กำหนด ถือได้ว่าเป็นอันตรายกับผู้ที่สวมใส่ และอันตรายจากโลหะตะกั่วมีดังนี้

- สารตะกั่วจะมีผลเสียต่อสมองและการติดต่อของเซลล์ประสาท โดยสารตะกั่วจะไปจับกับเซลล์แทนที่แคลเซียม พบว่าหากมีสารตะกั่วในเลือดเพิ่มขึ้นทุก 10 mcg/dLจะทำให้ IQ ลดลง

- ผลต่อเม็ดเลือดแดง จะทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย เป็นโรคโลหิตจาง และมีผลต่อการทำงานของไต

- ผลต่อการตั้งครรภ์และทารก สารตะกั่วสามารถก่อปัญหาให้แก่ทารกในครรภ์ หากมีสารตะกั่วเป็นปริมาณมากอาจจะทำให้เกิดการแท้ง คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ การทำงานของสมองจะพัฒนาช้า ปัญญาอ่อน ชัก

ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดอัญมณีและเครื่องประดับที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในโลก ได้ให้ความสำคัญกับสารตะกั่วที่มีในเครื่องประดับ โดยได้ออกข้อกำหนดมาตรฐานในเครื่องประดับจะต้องมีค่าปริมาณตะกั่วได้ไม่เกิน 600 ppm หรือ 0.06% ซึ่งค่านี้จะวิเคราะห์ได้ด้วยการนำเครื่องประดับไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ แน่นอนที่สุด การส่งออกเครื่องประดับไปนานาประเทศจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจวิเคราะห์ปริมาณตะกั่ว เพื่อควบคุมคุณภาพสินค้าให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อันจะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าเครื่องประดับไทย และสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้า อีกทั้งยังป้องกันการถูกยกเลิกการสั่งซื้อสินค้า ที่อาจเกิดตามมาจากการตรวจพบปริมาณตะกั่วเกินข้อกำหนดในเครื่องประดับ

ห้องปฏิบัติการตรวจสอบวิเคราะห์โลหะมีค่าของสถาบัน ได้เปิดให้บริการในการตรวจวิเคราะห์ปริมาณตะกั่วในเครื่องประดับ ซึ่งจะช่วยท่านสามารถควบคุมคุณภาพสินค้า และมีความมั่นใจว่าเครื่องประดับที่ท่านส่งออกนั้น มีปริมาณของสารตะกั่วเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐาน

อาหารป้องกันสิว/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ



อาหารป้องกันสิว

สิวเกิดจากความผิดปกติของต่อมไขมันที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเกิดบนใบหน้า ในบาง กรณีจะเกิดบน หลัง ไหล่ หน้าอกและแขน สิวจะพบมากในวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมน ไปกระตุ้นการหลั่งของต่อมไขมัน

ความเครียดนับเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว สารอาหารต่างๆ ที่ช่วย ลดความเครียดจึงมีความสำคัญต่อการช่วยลดการเกิดสิวได้ การได้รับอาหารถูกต้อง ตามหลักโภชนาการและรักษาผิวหนังให้สะอาดเป็นประจำ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ และได้รับแสงแดดบ้างจะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้

สำหรับเรื่องอาหาร พบว่า มีการใช้สารอาหารบางชนิดในการป้องกันและ รักษาสิว เช่น วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินอี แร่ธาตุ เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม โครเมียม กำมะถันและสังกะสี ทั้งในรูปของการกินและการใช้ทาภายนอก สารอาหารดังกล่าวพบได้ในอาหารทั่วไป ดังนั้น เพื่อเป็น การป้องกันสิว วัยรุ่นควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และให้มีความหลากหลายในแต่ละหมู่ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะสังกะสี ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง ถั่วเหลือง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ ไข่ และ ตับ เพราะสังกะสีเป็นสารจำเป็นสำหรับการทำงานของต่อมไขมันและสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น การกินอาหารที่ให้วิตามินและแร่ธาตุเพียงพอ ร่วมกับการปฏิบัติอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นจะช่วยป้องกันสิวได้

ข้อมูลจาก...กระทรวงสาธารณะสุข




บุคลิกภาพรับลมหนาว/ลดหุ่นง่ายๆของคุณ

บุคลิกภาพรับลมหนาว

เวลานี้เท่าที่ทราบ เสื้อกันหนาวกับอุปกรณ์คลายหนาวเก๋ๆ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะ ผ้าพันคอ ที่ขอทำนายว่าเป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในฤดูหนาวนี้ ทราบว่าขายกันเกลี้ยง ไม่ว่าจะมือหนึ่งหรือมือสอง และต่อลูกค้า 1 คน ใช่ว่าจะซื้อกันเพียงแค่ 1 ผืน ส่วนใหญ่ซื้อตั้งแต่ 2 ผืนขึ้นไปค่ะ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ผ้าพันคอได้พัฒนามาเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งของหนุ่มสาวสมัยใหม่ จะเห็นว่าหน้าฝนที่ผ่านมา ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ต่างก็นิยมมีผ้าพันคอผืนเก๋ประดับตกแต่งร่างกายกันมาแล้วเป็นอย่างมาก ฉะนั้น ในท่ามกลางลมหนาวขนานแท้ มีหรือคะที่ผ้าพันคอจะไม่ฮิต


มีสิ่งที่ต้องขออนุญาตแนะนำ เผื่อใช้เป็นข้อพิจารณาในการรักษาบุคลิกภาพของตัวเองให้ยังคงดูดี เป็นที่น่าประทับใจในตลอดหน้าหนาวนี้


1.อย่าแต่งตัวเยอะเกินคนส่วนใหญ่
หลายคนดีใจที่ได้เจอลมหนาว ก็รีบโหมประโคมแต่งตัวอย่างสนุก ลืมรอดูว่าส่วนใหญ่เขาแต่งกันมากน้อยแค่ไหน โดยหลักของบุคลิกภาพแล้ว น้อยดีกว่าเยอะค่ะ เพราะน้อยเติมได้ ปรับแต่งนิดเดียวก็เข้าได้กับคนส่วนใหญ่ “น้อย...แต่เก๋ มีเอกลักษณ์ น่าสนใจ” คือคาถาสำคัญในการแต่งตัวค่ะ การแต่งตัวเยอะ อาจทำให้คุณกลายเป็นตัวตลก สะดุดตา เป็นที่สนใจจริงๆ ค่ะ แต่ไม่ใช่ในทางบวก

ความเยอะส่วนใหญ่จะอยู่ที่เสื้อตัวนอกกับอุปกรณ์พันคอทั้งหลาย อย่าให้สองสิ่งนี้ทำหน้าที่ “กันหนาว” ในเวลาเดียวกัน หากเสื้อทำหน้าที่กันหนาวได้ดีแล้ว ผ้าพันคอก็ควรทำหน้าที่ “เติมความเก๋” เท่านั้น แต่หากผ้าพันคอทำหน้าที่กันหนาว (และเก๋) เสื้อตัวนอกก็ไม่ควรดูหนามาก มีขนฟูฟ่อง หรือทำให้ตัวคุณดูเทอะทะ อย่ารักพี่เสียดายน้องระหว่างเสื้อกันหนาวกับผ้าพันคอ แค่ตัดสินใจให้ได้ว่า วันนี้ใครจะทำหน้าที่กันหนาว ใครจะทำหน้าที่เสริมเสน่ห์ เท่านี้คุณก็จะเป็น “คนขี้หนาว” ที่ดูดี มีรสนิยมแล้วค่ะ

2.อย่าประมาทต่อสายลมหนาว
ลมหนาวมาพร้อมๆ กับความอ่อนแอของร่างกายค่ะ แถมยังหอบเอาเชื้อโรคต่างๆ นานามาฝากเราด้วย การดูแลสุขภาพในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปลายฤดูฝนสู่ต้นฤดูหนาวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะขืนต้องออกงานหรือไปทำงานในสภาพไอโขลกๆ หน้าซีดหน้าเซียว จับไข้ตัวสั่น มันไม่ช่วยให้มีสง่าราศีแต่อย่างใดเลย

การดูแลสุขภาพในหน้าหนาวก็คือ การรักษาความอบอุ่นของร่างกายเอาไว้ อาจต้องออกกำลังกายมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงหักโหมขึ้นนะ ให้มีเวลาในการอบอุ่นร่างกายให้มากขึ้น และช่วงวอร์มดาวน์หลังออกกำลังกายก็สำคัญค่ะ

พร้อมกันนี้ ก็ควรใส่ใจรับประทานอาหารให้ครบทั้งสามมื้อ อาหารที่จะรับประทานควรเป็นอาหารปรุงสุกใหม่ๆ เพราะช่วงต้นหนาวอย่างนี้ มีไวรัสฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศมากเป็นพิเศษ การใส่ใจเรื่องอาหารการกินจะช่วยร่างกายมีความต้านทานโรคภัยต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

3.ผิวพรรณก็สำคัญใช่ย่อย
หน้าหนาวอากาศแห้ง พลอยทำให้ผิวของเราแห้งหนักกว่าปกติ การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวในหน้าหนาวจึงต้องเลือกชนิดเข้มเข้น และติดทนทาน ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ทำให้ผิวเอิบอิ่ม ดูชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน

จุดที่หลายคนอาจไม่ได้ระมัดระวังมาก ก็คือ มือกับริมฝีปากค่ะ สองจุดนี้จะแห้งเป็นขุย หรือหลุดลอกได้ง่ายมากๆ ควรมีโลชันทามือติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะว่ามือของเราสกปรกและต้องล้างบ่อยๆ ทุกครั้งที่ล้าง โดยเฉพาะล้างด้วยน้ำอุ่นและสบู่ จะยิ่งทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น รวมไปถึงน้ำมันที่คอยปกป้องผิว จึงต้องคอยทาโลชันบำรุงช่วย โดยเฉพาะคนที่ทำงานให้ห้องปรับอากาศ

ส่วนริมฝีปาก ควรใช้ลิปสติกที่ทั้งปกป้องและบำรุง คือ ปกป้องจากอากาศที่หนาวเย็นและแห้ง ไม่หลุดลอกง่าย ไม่แข็งตัวเป็นคราบ และมีสารบำรุงริมฝีปากด้วย อาจต้องคอยสำรวจริมฝีปากและเติมลิปสติกให้อยู่ในสภาพดีตลอดทั้งวัน พร้อมกันนี้ให้จิบน้ำบ่อยๆ เพื่อที่ผิวและริมฝีปากจะได้ไม่ขาดน้ำ ทำให้ดูอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวลตามธรรมชาติ

4.อย่าละเลยความผึ่งผาย
อากาศหนาว คนเราจะห่อตัว ห่อไหล่ โดยไม่ทันรู้ตัว เสียบุคลิกค่ะ เลือกเครื่องแต่งกายที่ช่วยบรรเทาความหนาว เลือกให้เข้ากับกาลเทศะ จะได้เดินไปไหนมาไหน พบปะกับใครๆ ได้อย่างสมาร์ตเหมือนปกติ ที่สำคัญอย่าเดินออกมาตากลมมาก เพราะแม้จะมีเสื้อผ้าช่วยกันหนาว แต่ท่ามกลางอากาศเย็น บวกกับสายลมโชย จะทำให้เราหนาวได้มากกว่าปกติ จนต้องห่อตัวหรือเดินไหล่งุ้ม ไม่น่ามองได้

5.ห่อหุ้มเท้าเอาไว้บ้าง
หน้าหนาวส้นเท้าแตกแหละหยาบง่าย หมั่นขัดถู สปา และทาครีมบำรุงให้มากเป็นพิเศษ ทางที่ดีเลือกรองเท้าที่ห่อหุ้มเท้ามากกว่าเปิดเปลือย เพราะหนังเท้าจะหยาบกร้านและแห้งได้เร็วกว่าจุดอื่นๆ ในร่างกาย ที่สำคัญเป็นส่วนที่เราไม่ค่อยได้สัมผัสหรือใส่ใจ บางคนเท้าหยาบ ผิวแตกมาก ยังอุตส่าห์สวมรองเท้าเปิดเปลือยให้เห็นความหยาบและแห้งกร้านของผิวเท้าอีก แค่นึกภาพก็คงจะรู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าน่ามองหรือไม่


6.ยิ้มไว้
หน้าหนาวไม่ทราบว่าเป็นอะไร คนไม่ค่อยยิ้มค่ะ อาจเพราะกังวลอยู่กับความหนาว จนรีบร้อนอยากจะเดินๆ หรือทำธุระให้เสร็จ แล้วกลับเข้าตึก เข้าห้อง เข้าบ้าน เพื่อให้พ้นจากความหนาวเย็น บ้างก็มีปัญหาเรื่องแผลในปาก (อันเนื่องมาจากไวรัสที่ฟุ้งอยู่ทั่ว) บางคืนก็เจ็บปากเพราะริมฝีปากแตกเป็นขุย แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไร รอยยิ้มและความแจ่มใสยังคงเป็นเสน่ห์ และน่าลุ่มหลงอยู่เสมอ ดูแลริมฝีปากให้เอิบอิ่ม สวย และยิ้มให้สวยตามปกติ ดีที่สุดเลยค่ะ

7.จัดกระเป๋าให้เข้าที่
เปลี่ยนฤดูแล้ว ก็ลองเปลี่ยนกระเป๋า หรือจัดกระเป๋าใหม่ได้แล้วนะคะ สัมภาระหลายอย่างไม่ต้องใช้ ก็หยิบออกไปให้พ้นกระเป๋า จะได้ไม่ต้องแบกของหนัก หรือใช้กระเป๋าใบใหญ่ให้ดูพะรุงพะรัง หน้าหนาวเสื้อผ้ามักหนา แค่นั้นก็ดูเทอะทะมากแล้วค่ะ ถ้ายังต้องมาหิ้ว ถือ หรือแบกกระเป๋ารุงรังอีก ความน่ามองหายหมดแน่

ทั้งหมดที่แนะนำมานี้ ลองนำไปเป็นข้อเตือนใจหรือเป็นข้อพิจารณากันดูนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และช่วยให้หน้าหนาวนี้ คุณยังคงเป็นคนที่หลายคนมีความสุขที่ได้มอง รู้จัก เจอะเจอ หรือได้ร่วมงานด้วย

เพราะความเอาใจใส่ต่อเรื่องเหล่านี้ ได้ช่วยให้คุณยังคมสมาร์ตเหมือนเดิม แถมดูอินเทรนด์ขึ้นตามกระแสแฟชั่นที่กำลังหลากไหลมาพร้อมๆ กับสายลมหนาว

อย่าโทษข้าวโพดคั่ว/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ



อย่าโทษข้าวโพดคั่ว

พูดถึงข้าวโพดคั่ว คนส่วนใหญ่มักคิดถึงแต่ด้านลบ ทั้งที่จริง ข้าวโพดคั่วไม่ได้ทำอะไรผิด ซ้ำมีคุณค่าทางอาหาร แถมช่วยต้านโรคร้ายอีกด้วย

ถึง ข้าวโพดคั่ว จะเป็นของขบเคี้ยวที่ได้รับความนิยมแพร่หลายและเป็นของโปรดของคนทั่วโลก แต่ถ้าพูดถึงโภชนาการของอาหารว่างชนิดนี้ คนส่วนใหญ่กลับพากันเบือนหน้าหนีเพราะคิดถึงกันแต่ด้านลบ ทั้งที่จริงแล้ว ข้าวโพดคั่วไม่ผิด

ก่อนจะไปถึงเรื่องคุณค่าด้านโภชนาการ ข้าวโพดคั่วยังมีความเป็นมาที่น่าสนใจนับแต่อดีต ซึ่งมีข้อมูลว่าเจ้าข้าวโพดคั่วถูกค้นพบและกลายเป็นของกินของมนุษย์มาตั้งแต่พันปีที่แล้ว โดยมีพยานหลักฐานเป็นหม้อดินโบราณของชนพื้นเมืองในแถบอเมริกาใต้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเครื่องคั่วข้าวโพดของยุคนั้น พิจารณาดูแล้วคาดว่าคงใช้วิธีหมกหม้อทั้งใบลงในทรายที่ร้อนจัด ก่อนโรยเมล็ดข้าวโพดลงไปแล้วปิดฝา แล้วความร้อนจากทรายก็คงจะอบให้เมล็ดข้าวโพดระเบิดตูมตามกลายเป็นข้าวโพดคั่วฟูขาวน่ากิน

กว่าข้าวโพดคั่วจะกลายเป็นของว่างยอดฮิต และเริ่มมีการผลิตเป็นการค้าอย่างจริงจังก็ในราวทศวรรษ 1890 ซึ่งมีการผลิตเครื่องทำข้าวโพดคั่วขนาดใหญ่ที่ใช้เตาน้ำมันเบนซินไปคั่วขายกันตามงานแห่และงานเทศกาลต่างๆ ก่อนจะถูกปลุกกระแสอีกครั้งเมื่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ถือกำเนิดและเติบโตฉุดไม่อยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยยุคแรกๆ ตู้ข้าวโพดคั่วขยับตามไปให้บริการอยู่แถวหน้าโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะบริเวณด้านนอกตัวอาคาร จากนั้นจึงค่อยๆ รุกคืบเข้าไปควบรวมกิจการกับโรงหนังอย่างแนบเนียน กลายเป็นวัฒนธรรมการดูหนังที่มีเครื่องเคียงเป็นข้าวโพดคั่วซึ่งขยายตัวและได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงเป็นอาหารว่างในวัฒนธรรมบันเทิงอเมริกัน ในด้านเศรษฐกิจ เมล็ดข้าวโพดที่นำไปทำข้าวโพดคั่วก็เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของสหรัฐ โดยมีแหล่งผลิตหลัก ได้แก่ มลรัฐอิลลินอยส์ อินเดียนา ไอโอวา แคนซัส เคนตั๊กกี้ มิชิแกน มิสซูรี เนแบรสกา และโอไฮโอ ซึ่งปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งถึงช่วงต้นทศวรรษ 1990 ที่กระแสห่วงใยสุขภาพมาแรง ข้าวโพดคั่วถึงได้เจอข้อหาเป็นภัยต่อร่างกาย ถึงขั้นที่นักวิจัยด้านโภชนาการจาก Center of Science in the Public Interest ออกมาชี้ตัวว่า ในโรงหนังนี่ที่ร้ายกว่า 'เฟรดดี้ ครูกเกอร์' หรือ 'เจสัน' จอมจิตตกชื่อดังของยุคนั้น ก็ได้แก่ วายร้ายข้าวโพดคั่ว ที่พกพาไขมันอิ่มตัวมาจนเต็มพิกัด อันเป็นตัวการสำคัญให้ชาวอเมริกัน รวมทั้งผู้บริโภคทั่วโลกมีระดับคอเลสเตอรอลพุ่งกระฉูด และเกิดอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือด ทำเอาผู้ผลิตในอุตสาหกรรมข้าวโพดคั่วยอมไม่ได้ พากันรวมตัวตั้งเป็นสมาคมเพื่อหาข้อมูลออกมาตอบโต้ และทำสงครามข้อมูลสุขภาพกับบรรดานักวิจัยด้านอาหารเป็นการใหญ่




เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.โจ วินสัน นักเคมีจากมหาวิทยาลัยสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย เปิดเผยรายงานผลการศึกษาวิจัยว่าด้วยอาหารกินเล่น รวมทั้งธัญพืชแปรรูปชนิดต่างๆ โดยยืนยันว่าข้าวโพดคั่ว รวมทั้งอาหารที่ทำจากธัญพืชในรูปแบบต่างๆ นั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง โดยเฉพาะส่วนประกอบสารอาหารที่รู้จักกันดีอย่าง โพลีฟีนอล (Polyphenol)



โดย 'โพลีฟีนอล' ถือเป็นสารประกอบที่อยู่ในอาหารหลายจำพวกที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต ไวน์ กาแฟ หรือชา รวมทั้งในผักผลไม้อย่างผลเบอร์รีหลากชนิด องุ่น วอลนัท ฯลฯ ซึ่งเจ้าสารตัวนี้มีส่วนในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดตีบและแข็งตัว โรคมะเร็งบางชนิด รวมทั้งโรคอัลไซเมอร์ ไขข้ออักเสบ ฯลฯ โดยไปช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ บรรดาของกินที่นำมาศึกษาวิจัย ข้าวโพดคั่วมีระดับของโพลีฟีนอลสูงที่สุด รวมทั้งมีใยอาหารมากกว่าของขบเคี้ยวประเภทอื่นๆ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ถึงข้าวโพดคั่วจะพ้นผิด แต่ต้องไม่ลืมว่าข้าวโพดคั่วหอมน่ากินร้อยทั้งร้อย ไม่ได้มาเดี่ยวๆ แต่มักจะหมายความถึงข้าวโพดคั่วอบเนย ข้าวโพดคั่วเคลือบน้ำตาล ช็อกโกแลต คาราเมล์ กับอีกหลายรส ในเมื่อข้าวโพดไม่ผิด อย่างนั้นตัวการก็ต้องเป็นเจ้าเนย น้ำตาล ช็อกโกแลต คาราเมล์ ฯลฯ

หรือจริงๆ แล้ว คุณและโทษของอาหารอยู่ที่การเลือกรับประทานอย่างพอเหมาะพอดี


วิธีเลือกซื้อปลา, ปูทะเลสด/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ



1. ก่อนที่จะซื้อปลา ควรรู้ก่อนว่าจะเอาปลาไปทำอะไรค่ะ เพราะเวลาเลือกซื้อเรา ต้องเลือกซื้อตามชนิดอาหาร ที่จะทำ เช่น ถ้าจะซื้อไปทำทอดมัน ก็ซื้อเป็นเนื้อปลา ถ้าจะซื้อไปทอด ก็ใช้ปลาทั้งตัว แต่ต้องตัวไม่ใหญ่มากจนเกินไป ส่วนถ้าจะนึ่งก็เลือกได้ ว่าจะนึ่งทั้งตัว หรือจะนึ่งเป็นชิ้นค่ะ

2. เนื้อปลาต้องสด ค่ะ เฮ้อพูดมันง่าย แต่ถ้าคนไม่เคยซื้อนี่ มันดูยากเหลือหลาย ข้อสังเกตง่ายๆ ปลาสด ผิวจะเป็นมัน มีเมือกใสๆ บางๆ หุ้มตัว ตานูนใสฝังแน่นในเบ้าตา ถ้าตาโบ๋ตาขุ่น สงสัยไว้ก่อนว่า คงไม่สด เหงือกมีสีแดง เนื้อแน่นกดแล้วไม่บุ๋ม ถ้าเป็นปลาที่มีเกล็ด เกล็ดต้องยังเป็นเงา แนบติดกับตัวค่ะ

3. ขอดมหน่อย ลองดมดูสักนิดค่ะ ปลาจะมีกลิ่นคาวตามธรรมชาติ แต่ทีแน่ๆ ต้องไม่ใช่ กลิ่นเหม็นเน่า

วิธีเลือกซื้อปูทะเล




ปูทะเลสด จะมีสีเขียวเข้ม อ้วน หนัก ก้ามใหญ่ ตาใส กลางหน้าอก (ไม่ใช่กลางกระดองนะคะ ต้องหงายท้องดูค่ะ) จะแข็งกดไม่ลง ถ้าเป็นปูตัวเมีย ฝาปิดหน้าอกจะใหญ่ ส่วนตัวผู้ฝาปิดหน้าอก จะเล็ก ปูตัวผู้เนื้อจะมากกว่าตัวเมียค่ะ

ปูทะเล จะซื้อมาทำอาหารให้อร่อย ต้องซื้อตอนยังเป็นๆ อยู่ค่ะ (ใครถือศีล สงสัยจะทำใจลำบาก) วิธีทดสอบว่าปูยังเป็น อยู่หรือเปล่า ให้ลองแหย่ลูกตาปูดูค่ะ ถ้ายังกระดุกกระดิกอยู่ แสดงว่ายังไม่ตาย เราไม่นิยมใช้ปูตาย เพราะเนื้อจะน้อยกว่าปูเป็นๆ ค่ะ




ซื้อปูไข่ จะรู้ได้ยังไง ว่ามีไข่หรือไม่มีไข่ อันนี้ต้องออกแรงนิ้ว ดีดกระดองดูค่ะ จะมีเสียงแน่นทึบ ถ้าเป็นเสียงโปร่งอย่าซื้อค่ะ น่าจะไม่มีไข่

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสริมแคลเซียม ด้วยอาหารไทย












เสริมแคลเซียม ด้วยอาหารไทย

ตรวจรายชื่อเมนูเด็ดอาหารไทย แหล่งแคลเซียมสำหรับสาวใหญ่ อร่อย ได้คุณค่า เช็คสารอาหารหลากชนิดที่จำเป็นในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน

ในบรรดาแร่ธาตุที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายของคนเรา ' แคลเซียม' ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่มีอยู่มากที่สุดถึงร้อยละ99 ทั้งในกระดูกและฟัน ส่วนที่เหลืออีกนิดหน่อย ไหลเวียนอยู่ในของเหลวและเนื้อเยื่อ แต่ก็มีบทบาทไม่แพ้กัน เพราะเป็นตัวที่คอยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาทให้เป็นปกติ รวมทั้งจำเป็นสำหรับการทำงานของเอนไซม์และโปรตีนบางชนิด อีกทั้งยังช่วยในการขนส่งสารเข้าสู่เซลล์ และคอยสนับสนุนการสังเคราะห์ คัดหลั่ง และช่วยการทำงานของฮอร์โมนบางชนิดอีกด้วย

ทั้งนี้กระดูกเป็นแหล่งสะสมของแคลเซียม แต่ถ้าแคลเซียมในของเหลวและเนื้อเยื่อลดปริมาณลง แคลเซียมในกระดูกซึ่งเสมือนเป็นคลังสำรองก็จะถูกดึงออกมาใช้

ในช่วงของการเจริญเติบโตเนื้อกระดูกจะมีอัตราการสร้างมากกว่าการทำลาย แต่เมื่อก้าวสู่ช่วงวัย 40 ปีอัพ อัตราการทำลายจะเพิ่มสูงกว่า กระดูกจะสูญเสียความแข็งแรงและความหนาแน่นอย่างมากในช่วงใกล้หมดประจำเดือน และเมื่อเสียแคลเซียมนานติดต่อกันเป็น 10-20 ปี จะส่งผลให้สตรีวัยหมดประจำเดือน รวมทั้งผู้สูงอายุ มีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุน เสี่ยงต่อการเกิดอาการกระดูกหักได้ง่าย

ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรได้รับแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม ส่วนหญิงตั้งครรภ์และใหนมบุตรควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม

การบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูงให้ได้อย่างน้อยร้องละ75 ของแคลเซียมที่ควรได้รับใน 1 วัน จะเป็นการช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันการดึงแคลเซียมจากกระดูกไปใช้ แหล่งแคลเซียมที่เรารับรู้กันดี อีกทั้งเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดีด้วย ได้แก่ นม การดื่มนม 1 กล่อง (ขนาด 250 ซีซี) จะทำให้ได้รับแคลเซียม 300 มิลลิกรัม ดังนั้นการดื่มนมวันละ 2 กล่องเล็ก (400 ซีซี) จะทำให้ได้แคลเซียมถึง 2 ใน 3 ที่ร่างกายต้องการต่อวัน


'อาหารไทย' นับเป็นแหล่งอันอุดมของแคลเซียมด้วยเช่นกัน วันนี้ เราจะลองมาไล่เรียงเมนูน่ารับประทาน เพื่อเป็นการเสริมแคลเซียมแบบเอร็ดอร่อย อาทิ



น้ำพริกกะปิ-ปลาทู : จะทำให้ได้แคลเซียมจากกะปิ ซึ่งกะปิ 1/2 ถึง 1 ช้อนชา จะให้แคลเซียมประมาณ 40-90 มิลลิกรัม นอกจากนี้แคลเซียมยังมีในปลาทู และถ้าอยากเพิ่มปริมาณแคลเซียมให้มากยิ่งขึ้นก็สามารถเติมกุ้งแห้งเข้าไปด้วย

น้ำพริกปราร้า : ปลาร้ามีแคลเซียมสูงพอๆ กับกะปิ กินแล้วรับรองว่าฟันและกระดูกจะแข็งแรง แถมมีวิตามินบี 2 ที่ช่วยป้องกันปากนกกระจอก

ยำยอดคะน้า,ยำผักกระเฉด : ผักคะน้าและผักกระเฉดเป็นผักที่มีธาตุแคลเซียมสูง และดูดซึมได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับผักชนิดอื่น การกินผักเหล่านี้แต่ละครั้งจะทำให้ได้แคลเซียมประมาณ 50-90 มิลลิกรัม และเมื่อกินในรูปแบบของอาหารที่มีความเป็นกรดอ่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริก ยำ แกงส้ม หรือเมี่ยง จะช่วยให้แคลเซียมละลายและดูดซึมได้ดี

แกงส้มผักกระเฉด,แกงส้มดอกแค, แกงส้มผักรวม : ผักกระเฉด และดอกแค ให้แคลเซียมสูง และยังมีเส้นใยอาหาร ช่วยให้การขับถ่ายของร่างกายเป็นปกติ ส่วนผสมของน้ำพริกแกงส้ม ประกอบด้วย พริกแห้งและหอมแดง ช่วยขับลม

ลาบเต้าหู้ทรงเครื่อง,แกงจืดเต้าหู้, ผัดเต้าหู้กับถั่วงอก : เต้าหู้นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารแคลเซียมที่ดีแล้ว ยังเป็นอาหารที่ให้ไขมันต่ำและไม่มีโคเลสเตอรอล รวมทั้งมีสารไฟโดเอสโตรเจนที่จำเป็นสำหรับคนวัยทอง


มีข้อมูลด้วยว่าแคลเซียมร้อยละ 30-80 ถูกดูดซึมที่ลำไส้ส่วนต้น โดยอาศัยปัจจัยสำคัญได้แก่ 'วิตามินดี' ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้แคลเซียมผ่านลำไส้ได้ดีขึ้นและเร่งการเกาะของเกลือแคลเซียมในกระดูก ซึ่งหมายถึงการสะสมของแคลเซียม ดังนั้น การขาดวิตามินดีก็จะมีผลเป็นการขาดตัวกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม

รวมทั้งการบริโภคอาหารที่มี 'ไขมัน' สูงมากๆ ก็จะเป็นเหตุให้ไขมันไปรวมกับแคลเซียมเกิดเป็นสารที่ไม่ละลายจึงไม่ถูกดูดซึมด้วยเช่นกัน

รู้อย่างนี้แล้วหันมารับประทานอาหารไทยกันดีกว่า ได้แคลเซียมครบปริมาณแถมอร่อยไม่ซ้ำรส ไม่จำเป็นต้องกินแคลเซียมสำเร็จรูปเป็นเม็ดๆ ส่วนใครที่คิดว่าจำเป็นต้องเสริมแคลเซียมสำเร็จรูป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ

เทคนิค ‘ดื่มน้ำ' เพิ่มพลังสุขภาพ


เทคนิค ดื่มน้ำ' เพิ่มพลังสุขภาพ

ความใส่ใจเลือกรับประทานอาหารที่ปราศจากสารพิษ อย่าง ผัก ผลไม้ และอาหารที่ผ่านกรรมวิธีแปรรูปน้อยที่สุด ถือเป็นการดูแลรักษาสุขภาพโดยพึ่งพาธรรมชาติตามรูปแบบของ ดร.ทอม อู๋' ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจากสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับการดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำเปล่า อย่างต่ำ 8 แก้วต่อวัน ซึ่งควรจัดสรรเวลาในการดื่มน้ำให้เหมาะสม และควรดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง

สำหรับเทคนิคการดื่มน้ำ ควรเปลี่ยนจากการดื่มเป็นอึก หรือดื่มทีเดียวหมดแก้ว มาเป็นการค่อย ๆ จิบ ค่อย ๆ กลืน เทคนิคดังกล่าว นอกจากจะไม่ทำให้รู้สึกจุกหรือปวดปัสสาวะหลังจากดื่มน้ำแล้ว ยังเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ทั่วร่างกาย ถือเป็นการแก้กระหายและบำรุงร่างกายจากภายในสู่ภายนอก

ทั้งนี้ ดร.ทอม ยังแนะนำให้ลำดับการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ร่างกายย่อยอาหารได้อย่างสะดวก โดยเริ่มจากการรับประทานผลไม้ก่อน จากนั้นจึงตามด้วยสลัดผักสด ที่จะต้องเคี้ยวคำละ 40 ครั้ง สุดท้ายเป็นอาหารปรุงสุกหรืออาหารจานหลัก

ส่วนเหตุผลที่ให้จัดลำดับการรับประทานอาหารตามคำที่กล่าว เพราะผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่ายมากกว่าผักสดและเนื้อสัตว์ เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.




เมื่อนอนดึก ควรเลือกกินอาหารแบบไหน/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ


เมื่อนอนดึก ควรเลือกกินอาหารแบบไหน

1. ควรงดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก

2. ถ้าหากอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้

3. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้

4. เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้องกับฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า

5. มื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

6. ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะ จะเพิ่มภาระทำให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้

ใครที่นอนดึกบ่อยๆ อย่าลืมเอาเคล็ดลับนี้ ไปลองใช้ดูนะคะ



ดื่มล้างพิษ เพิ่มพลัง ‘ตับ' แข็งแรง/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ

ดื่มล้างพิษ เพิ่มพลัง ตับ' แข็งแรง

นับว่ามนุษย์เรายังโชคดีที่ธรรมชาติรังสรรค์พืชผักที่ช่วยบำรุงรักษาตับ' กินดีวันนี้เลือกเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมของ กะหล่ำปลี สาหร่ายสไปรูลินา และวีตกราส ช่วยล้างพิษในตับ เสริมสร้างตับให้แข็งแรง

สำหรับกะหล่ำปลี' อุดมไปด้วยสารอินโดลฟลาโวนอยด์ สารคาร์บินอล สารซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต ต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยชะล้างพิษ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากแผลในลำไส้ แก้ท้องผูก แก้เจ็บคอ บำรุงไต ดีต่อผิวพรรณ ทำให้ผิวสะอาดเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล แก้จุกเสียดแน่นท้อง ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการแน่นหน้าอก และยังมีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก กะหล่ำปลียังเพิ่มการสร้างกลูตาไทโอนซึ่งจำเป็นต่อตับในการล้างพิษจากควันไอเสีย และยา นอกจากนี้ควรรู้ไว้ว่า กะหล่ำปลีขาวจะมีรสชาติหวาน และง่ายต่อการดื่มมากกว่ากะหล่ำปลีเขียว

ต่อกันที่สาหร่ายสไปรูลินา' อุดมไปด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อการล้างพิษ การฟื้นฟู และการปรับสมดุลของตับ สมอง และระบบประสาท และเป็นแหล่งวิตามินบี 12 ไม่ก่อให้เกิดกรดหรือของเสียขึ้นภายในร่างกาย คลอโรฟีลล์ที่พบในสาหร่ายสไปรูลินา ยังเร่งกระบวนการชะล้างพิษและของเสียในตับ กระแสเลือด เนื้อเยื่อ และลำไส้ให้เร็วขึ้น ส่งผลให้เฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนแข็งแรง

สุดท้ายที่วีตกราส' หรือต้นอ่อนข้าวสาลี อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล็ก และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร กรดอะมิโนที่สำคัญ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์ร่างกายใหม่ ๆ และคลอโรฟีลล์ช่วยทำความสะอาดเลือด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมารวมกันก็เพื่อช่วยฟอกโลหิต เซลล์เม็ดเลือดแข็งแรง ร่างกายสะอาด และเพิ่มกำลังวังชา

เปี่ยมคุณค่าให้พลังตับขนาดนี้ ก่อนปรุงดื่มควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ดังต่อไปนี้



-กะหล่ำปลี 1 ถ้วย
-วีตกราส 2 ถ้วย
-สาหร่ายสไปรูลินา พอประมาณ



ขั้นตอนการปรุง เริ่มจากทำความสะอาดกะหล่ำปลีและวีตกราส หั่นส่วนผสมทั้งสองชนิดให้มีขนาดเล็กพอประมาณ นำไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เทใส่แก้ว เติมสาหร่ายสไปรูลินาลงไปแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ดื่มได้ทันที