Custom Search

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีลดอาการปวดประจำเดือน/วิธีดูแลหน้าท้องลาย



วิธีลดอาการปวดประจำเดือน

สาวๆ ที่มีประจำเดือนมาก็มักจะปวดท้องกันบ้าง มีการสำรวจค่ะว่า ผู้หญิง 50% ของวัยเจริญพันธ์ มีอาการปวดประจำเดือน และ 10% ของคนที่ปวดประจำเดือนจะปวดรุนแรงจนไม่สามารถไปทำงานหรือไปเรียนได้เลยค่ะ

วิธีการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

1. ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย อย่าเครียด หรือวิตกกังวลกับการปวดท้อง

2. ประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน โดยน้ำกระเป๋าน้ำร้อน(หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป)มาใส่น้ำร้อน แล้วพันด้วยผ้าขนหนู เพื่อจะได้ไม่ร้อนมากเกินไป นำมาวางประคบที่ท้องน้ย ประมารครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หรือจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้นหรือหายปวดก็ได้ค่ะ อาจใช้ลูกประคบสมุนไพรมาประคบแทนก็ได้ค่ะ

3. บริหารร่างกายด้วยท่าต่อไปนี้

3.1 ท่าแมว โดยคุกเข่า เอามือยันพื้นไว้ แล้วแขม่วหน้าท้องช้าๆ พร้อมกับโก่งหลังขึ้น แล้วค่อยๆ ปล่อยลง ทำเช่นนี้ขณะปวดท้อง

3.2 ท่าบิดเอว โดยนอนราบกับพื้นหรือเตียงก็ได้ค่ะ ชันเข่าขึ้น 2 ข้าง แล้วค่อยๆ พับเข่าทั้ง 2 ข้างไปทางซ้าย กดไหล่ให้แนบกับพื้นให้มากที่สุด จากนั้นยกเข่ากลับมาที่เดิม แล้วพับลงทางขวา สลับไปมาขณะปวด

3.3 ท่าเด็ก โดยนั่งบนส้นเท้าให้หลังเท้าราบกับพื้น จากนั้นก้มตัวลง ยืดหลังและเหยียดแขนออกไปข้างหน้า วางกับพื้น

4. ในช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือน ควรทำท่าบริหาร sit up เป็นประจำ จะช่วยให้ลดการปวดประจำเดือนลงได้ด้วยค่ะ







วิธีดูแลหน้าท้องลาย

สาวๆ ที่อ้วนหรือมีน้องมาก่อน จะเห็นว่าหน้าท้องเราจะลายได้ นั่นเกิดจากการที่ผิวหนังเราถุกยืดมากจนปริ ทำให้เกิดเป็นริ้วรอย บางคนมีอาการคันด้วย อย่าไปเกานะคะ ยิ่งเกาก้จะยิ่งเกิดรอยมากขึ้นค่ะ ทีนี้เรามาดูวิธีดูแลหน้าท้องลายกันค่ะ

1. ใช้ครีมบำรุงผิวหรือน้ำมันมะกอกทา แล้วนวดเบาๆ อาจใช้ครีมบำรุงสำหรับท้องลายที่มีขายในท้องตลาดก็ได้ค่ะ

2. ห้ามเกาเด็ดขาด ถ้าคันให้ทาครีมแทนค่ะ

3. บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรง ยิ่งบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องแต่ยังสาวๆ และขณะตั้งครรภ์ ก้จะช่วยกระชับครรภ์ไม่ให้ยืดออกอย่างรวดเร็วค่ะ ก็จะช่วยลดการเกิดหน้าท้องลายได้ค่ะ


วิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุด/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ



วิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุด ก็คือการออกกำลังกายนี่เอง แต่การออกกำลังกายก็มีหลากหลายประเภทซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างๆ กันค่ะ เราควรจะรู้หลัก และสิ่งที่ไม่ควรทำในการออกกำลังกายแต่ละชนิด เพื่อจะได้ผลดีและปลอดภัยที่สุดในการออกกำลังกายนะคะ

วิ่ง

เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ให้ประโยชน์กับปอด หัวใจและกล้ามเนื้อ ข้อแนะนำในการวิ่งคือ ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนที่จะวิ่งเพื่อลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรวิ่งอย่างน้อย 20 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์

เดิน

เป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด เป็นการออกกำลังแบบแอโรบิกเช่นเดียวกับการวิ่ง การเดินถ้าก้าวขายาวๆ ก็จะได้การยืดกล้ามเนื้อ และหากเดินเร็วขึ้นก็จะได้กำลังกล้ามเนื้อขา ข้อแนะนำคือควรเดินเร็วๆ วันละ 30 นาทีให้ได้ 5 วันต่อสัปดาห์ สามารถแบ่งช่วงเดินได้นะคะ คืออาจจะแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 10 นาทีค่ะ แต่ละช่วงไม่ควรต่ำกว่า 10นาทีนะคะและต้องเดินเร็วๆ ไม่ใช่เดินเล่น เดินทอดน่องนะคะ จะไม่ได้ผลอะไรค่ะ

ขี่จักรยาน

เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ใช้กล้ามเนื้อขาเพิ่มขึ้น ให้ประโยชน์กับปอด หัวใจและกล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการวิ่ง แต่ได้น้อยกว่าการวิ่งค่ะ

แร็คเก็ตสปอร์ต

ได้แก่แบดมินตัน เทนนิส สควอช เป็นการออกกำลังกายที่ผสมระวห่างแอโรบิกกับแอนแอโรบิค คือมีหยุดเป็นช่วงๆ ได้ประโยชน์กับหอดและหัวใจ ความแข็งแรงกล้ามเนื้อ แต่มีโอกาสบาดเจ็บเนื่องจากมีการกระแทกลงน้ำหนัก การบิดข้อต่อต่างๆ คนที่อายุมากไม่ควรเล่นกีฬาประเภทนี้ทุกวัน

กอล์ฟ

เป็นการออกกำลังระดับเบาถึงปานกลาง ซึ่งการออกกำลังกายด้วยการเล่นกอล์ฟเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับคนสูงอายุ แต่หากเป็นคนวัยกลางคนลงมาถึงวัยรุ่น การเล่นกอล์ฟอย่างเดียวไม่เพียงพอค่ะ ข้อควรระวังในการเล่นกอล์ฟคือกล้ามเนื้อต้องแข็งแรงและยืดเหยียดดีพอสมควร

พิลาทิส

เป็นการออกกำลังกายที่เน้นเรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงลำตัวทั้งหมด เน้นเรื่องการวางท่าทางที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีแหล่งฝึกพิลาทิสจำนวนมาก สามารถฝึกได้ด้วยตนเองค่ะ

ชี่กง ไทชิ

ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เพราะมีความต่อเนื่อง และได้ความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังได้ฝึกความสมดุลของร่างกายและสมาธิ ปัจจุบันการออกกำลังกายประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

โยคะ

เป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลก และเป็นการออกกำลังกายที่ดี ได้ความยืดคลายกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสูง มีข้อควรระวังคือคนสูงอายุควรได้รับการฝึกจากขั้นพื้นฐานอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจได้รับการบาดเจ็บได้

การออกกลังกายแต่ละอย่างมีประโยชน์ต่างๆ กันไปนะคะ ควรออกกลังกายแบบผสมผสานกันไปหลายๆ แบบค่ะ




มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง




มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง

ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน คำตอบคือ กินสายกลาง

กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง + งดมื้อเย็น

เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้

สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก.. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด

ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดย ตับ เป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆ ก็มากทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น ถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร

การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน

วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อยๆ เช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้ว ห้ามกินอาหารใดๆ ทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น สุดท้ายงดอาหารเย็น

3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว

4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน

ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน


นม - มัจจุราชเงียบต้องระวังครับ/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ






นม - มัจจุราชเงียบ

ใครๆ ก็แนะนำให้ดื่มนม นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นความจริงที่สำหรับคนเราในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะตอนนั้นข้าวของทุกอย่างแพงหมด เพราะขาดแคลน คนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้กินดีอยู่ดี ได้รับโปรตีนมากกว่า ทำให้มีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดอาหาร ขาดโปรตีน

แต่ในสมัยนี้มันเปลียนไปแล้ว เพราะคนส่วนมากจะเกิดภาวะการบริโภคเกินซะมากกว่า และที่สำคัญโปรตีนที่คนส่วนใหญ่ได้มา ส่วนหนึ่งก็มาจากการดื่มนมนั่นเอง ในนมมีอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่ในนม มีไขมัน โปรตีน และแคลเซียม ไขมันในนมเป็นไขมันจากสัตว์ ซึ่งอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล เป็นไขมันอิ่มตัว เราอุตส่าห์หนีน้ำมันหมู แล้วยังมากินนมเอาโคเลสเตอรอลเข้าไปอีกหรือ คนที่วิจัยเรื่องนี้ ก็คือ The Milk Industry Foundation บอกว่า คนกินนมแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วน บริษัทนมจึงแก้ปัญหาด้วยการทำนมพร่องไขมัน ซึ่งก็ยังมีไขมันเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง

จากข้อสังเกตที่ว่า คนอเมริกันกินนมเยอะที่สุด และมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินพ่วงตามมาด้วย ผู้ชายอ้วน 27% ผู้หญิง 46% ในขณะที่สถิติเรื่องอ้วนในคนไทยมีแค่ประมาณ 20% ทั้งหญิงและชาย

เรื่องเบาหวานในคนอเมริกันก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ขอกระซิบเบาๆ ว่า คนอเมริกันเป็นเบาหวานมากกว่าคนไทย 3 เท่าเชียวนะ สถิติโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ในคนอเมริกันล้วนแล้วแต่สูงกว่าคนไทยทั้งสิ้น น่าแปลกที่ฝรั่งที่มาสอนให้เราดื่มนมป้องกันกระดูกพรุน กลับมีอัตราเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าเราเกือบ 9 เท่า !

จึงมีคนเอะใจว่า การกินอาหารแบบอเมริกันน่าจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราเจ็บป่วยเสียแล้ว และเรื่องนมวัวก็ไม่หลุดรอดจากการตรวจสอบไปได้ ผลจากการตรวจสอบเราพบว่าปัญหาจากนมวัวเกิดเพราะสถานการณ์ต่างๆ ในโลกได้เปลี่ยนไป

สุขภาพคนไทยเปลี่ยนจากทุโภชนาการเป็นโภชนาการล้นเกิน

สถานการณ์แรกที่ต้องคิดถึงก็คือ การรณรงค์ให้ดื่มนมวัวเริ่มสมัยหลังสงครามโลกใหม่ๆ สมัยนั้นเป็นสมัยที่คนไทยยังขาดอาหารอยู่ มีภาวะทุโภชนาการอยู่ทั่วไป แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม คนไทยมีอาหารการกินอย่างเหลือเฟือ จนโรคอ้วนถามหากันเป็นทิวแถว การมาส่งเสริมให้ดื่มนมกลับเป็นการซ้ำเติมโรคอ้วนให้แย่ลงไปอีก

มีวิจัยว่า นมวัวเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจหลอดเลือด แม้ว่าคุณจะดื่มนมพร่องไขมันแล้วก็ตาม แต่คำว่าพร่องไขมันในที่นี้ เป็นการเล่นคำ เพราะพร่องไขมันก็คือยังมีไขมันอยู่ แต่น้อยกว่าปกติเท่านั้นเอง

มีการนำเอาเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติในจังหวัดเชียงใหม่มาตรวจหาระดับไขมันในเลือดดู พบว่าเด็กเหล่านี้ที่ถูกเลี้ยงดูให้กินนมต่างน้ำ มีไขมันสูง ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีสูงถึง 25% อายุ 6-15 ปีมีถึง 70% และระดับไขมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ นั่นหมายความว่าเด็กเหล่านี้เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เขาก็มีปัญหาไขมันอุดตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ - ไซนัสอักเสบ - หอบหืด

นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และหอบหืดในคนไทยด้วย เพราะว่าพันธุกรรมของคนไทยนั้นมักจะแพ้ต่อนมวัว เคยมีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทยที่ให้ดื่มนมวัวแล้วนำมาส่องดูเยื่อบุโพรงจมูกและเยื่อบุลำไส้ พบว่าคนเหล่านี้มีอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกและลำไส้ถึง 100%

ดื่มนมเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

เนื่องจากนมเป็นสาเหตุที่สำคัญของไขมันในเลือดสูง ดังนั้นนมจึงมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย ทั้งนี้นิ่วในถุงน้ำดีบางส่วนเกิดจากการที่มีสมดุลของน้ำดีและไขมันผิดปกติ ทำให้น้ำดีตกตะกอนเป็นนิ่วได้

ดื่มนม...มะเร็งอาจถามหา

นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1950-1975 หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม นักวิจัยชาวญี่ปุ่นพบว่าคนญี่ปุ่นดื่มนมเพิ่มขึ้น 15 เท่า กินเนื้อสัตว์เพิ่ม 7.5 เท่า ผลก็คือในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้หญิงญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้มากกว่าเดิม 300% ซึ่งตรงกับงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกาที่ว่า อาหารไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม

การประชุมกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (WCRF) และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (AICR) ก็มีงานวิจัยการสรุปออกมาเหมือนกันว่านมเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของมะเร็ง แต่ด้วยความเกรงใจบริษัทที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ก็เลยมีการแก้ไขถ้อยคำให้รุนแรงน้อยลงหน่อยว่า นมอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง

นมไม่ใช่แหล่งอาหารที่ดีที่สุด

การวิจัยว่าการที่ชาวตะวันตกเกิดโรคมากมายมีผลมาจากการดื่มนม 150 ลิตร/ปี หรือเฉลี่ยคือการดื่มนมมากเกิน 1.6 แก้ว/วัน แต่อย่าลืมนะว่าฝรั่งน่ะตัวใหญ่กว่าเรานะ ดังนั้นการออกมารณรงค์ให้คนไทยที่ดื่มนมวันละ 1 แก้วก็นับว่ามากจนเกินไป

จะกินดื่มอะไร ถ้าไม่ให้ดื่มนม(วัว)

มีคนถามว่า ถ้าการดื่มนมวัวน่าจะเกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเราจะกินดื่มอะไรกันดี

เด็ก นมแม่มีประโยชน์ที่สุด การเข้ามาของผลิตภัณฑ์นม ทำให้แม่ลดการให้นมลูกเองเหลือเพียง 4 % กรณีที่แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แม่สามารถกลับมาป้อนนมได้ในตอนเย็นและค่ำ หลังจากนั้นปั๊มน้ำนมเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เพื่อให้คนที่บ้านป้อนเด็กในตอนกลางวัน

การให้นมแม่ประหยัดเงินได้มาก ลูกมีภูมิต้านทานดี ไม่เจ็บป่วยง่าย เด็กที่เติบโตด้วยนมแม่จะอารมณ์ดี


กินช็อกโกแลตเพื่อลดความอ้วน






กินช็อกโกแลตเพื่อลดความอ้วน

หัวข้อนี้น่าจะถูกใจสาวๆ หลายคนเพราะชอบกินช็อกโกแลตแต่ก็กลัวอ้วน เลดี้ทิปได้นำบทความจากหนังสือ "หุ่นดีเพราะกินช็อกโกแลต" มาฝากค่ะ

มีการวิจัยเกี่ยวกับช็อกโกแลตค่ะ การวิจัยนี้ทดสอบโดยอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีโดยมีชาย 7 คนหญิง 8 คน และแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มที่ 1 กิน dark chocolate วันละ 100 กรัม อีกกลุ่มหนึ่งกิน white chocolate 90 กรัม ทุกวันเป็นเวลา 15 วัน

ผลที่ได้คือกลุ่มที่กิน dark chocolate ทุกคนมีความดันโลหิตลดลง และมีความไวต่ออินซูลินซึ่งเป็นตัวสำคัญในการเผาผลาญน้ำตาลมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่กิน white chocolate ความดันโลหิตไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เนื่องจากว่า dark chocolate มีระดับฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมาก ซึ่งเป็นสารเสริมสร้างสุขภาพของหัวใจ ช่วยให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และยังช่วยลดอาการอุดตันของหลอดเลือดอีกด้วยค่ะ ส่วน white chocolate ถูกตั้งข้อสันนิษฐานว่า นมอาจเป็นตัวที่ขัดขวางการดูดซับฟลาโวนอยด์นั่นเองค่ะ นอกจากนี้ในงานวิจัยยังระบุอีกด้วยว่าควรกิน dark chocolate ในปริมาณเทียบเคียงกับระดับแคลอรี่ที่เราทานในแต่ละวัน โดยที่ dark chocolate 100 กรัมให้พลังงาน 500 แคลอรี่ค่ะ ง่ายๆ ก็ทาน dark chocolate วันละ 100 กรัมก็ได้ค่ะ

รู้แบบนี้แล้วไปหาซื้อ dark chocolate มากินดีกว่านะคะ




วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

“กรุ๊ปเลือด กับอาหารต้องห้าม”/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ














กรุ๊ปเลือด กับอาหารต้องห้าม คราวนี้มาดูกันดีว่า กรุ๊ปเลือดอะไรควรและไม่ควรรับประทานอะไรบ้าง


กรุ๊ป O

ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย

แต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้

ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี

กรุ๊ป A

กลุ่มเลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จักการเพราะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด

ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง

ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ

กรุ๊ป B

พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้ นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A

ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ

กรุ๊ป AB

มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ

แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย

อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ...







Top 10 Health pitfall/ลดหุ่น ง่ายๆของคุณ



เห็นหัวข้อแล้วคงคิดกันว่าเอาของเก่ามาให้ดู แต่จริงๆ แล้วเรื่องราวเหล่านี้สามารถใช้ได้ตลอด เพราะว่าปกติแล้วคนเราไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์พร้อมไปเสียทั้งหมด ทุกผู้คนทุกวงการล้วนมีสิ่งที่ผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอ จึงได้รวบรวมความรู้ทางสุขภาพต่างๆ มาสรุปรวบยอดให้ฟัง จะว่าไปแล้วในวงการสุขภาพก็มีความเข้าใจที่ผิดพลาดในหลายๆ เรื่อง (บางคนที่ชอบพูดไทยคำ-อังกฤษคำ ก็เรียกว่า Pitfall) บางสิ่งที่คิดว่าดี จริงๆ แล้วก็อาจจะไม่ดีก็ได้ บางสิ่งที่คิดว่าเป็นผลเสีย จริงๆ แล้วก็อาจจะไม่ก็ได้










Pitfall No.1 "นมคือเครื่องดื่มที่ดีที่สุด"

ข้อมูลใหม่ๆ ที่ออกมาเริ่มเปลี่ยนไป นั่นคือ นมนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพแล้ว อาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ ทั้งนี้เนื่องจาก
1.นมไม่ได้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด ยังมีอาหารประเภทอื่นที่มีแคลเซียมสูงกว่านมอีกมาก เช่น งาดำ, ปลาเล็กปลาน้อย เป็นต้น ปริมาณของแคลเซียมที่มีสูงกว่า ไม่ใช่แค่เท่าหรือสองเท่า แต่ในอาหารบางชนิดเช่น ปลาร้าผง มีแคลเซียมมากกว่านมเกือบ 20 เท่าเลยทีเดียว
2.มีงานวิจัยใหม่ๆ ที่ออกมาว่า คนที่กินนมถึงวันละ 8 ออนซ์ กลับมีภาวะกระดูกผุมากกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มนมถึง 2 เท่า ทั้งนี้คาดกันว่าเนื่องจากการกินนม นอกจากจะได้แคลเซียมแล้ว ยังได้โปรตีนในปริมาณสูงด้วย การย่อยโปรตีนจะมีผลส่วนหนึ่งในการดึงเอาแคลเซียมออกมาใช้ด้วย ทำให้ร่างกายเสียแคลเซียมไปแทนที่จะได้แคลเซียม ด้วยโปรตีนปริมาณสูงในนมนี้เองเป็นตัวการที่ทำให้กระดูกผุมากกว่าเดิม
3.พบว่าการดูดซึมแคลเซียมจากนมทำได้แค่ 30% ในขณะที่ผักพวก Broccoli, Brussels sprout, Mustard green, Turnip green และ Kale กลับดูดซึมได้มากกว่า คือประมาณ 40-64%
4.ด้วยปัจจัยใหม่ๆ ในการเลี้ยงวัวนม ทั้งการฉีดฮอร์โมน ทั้งการใช้สารปฏิชีวนะ ทั้งจากตัวโปรตีนในนมเอง พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็งต่างๆ
5.ถ้าเปรียบเทียบข้อมูลทางโภชนาการบางอย่างของนมกับเบียร์แล้ว เป็นดังนี้ครับ

นม 1 แก้ว (2% milk) เบียร์ 1 แก้ว
ไขมัน (ยิ่งมากยิ่งแย่) 5 0
เส้นใย (ยิ่งมากยิ่งดี) 0 0.5
โซเดียม 122 12
คอเลสเตอรอล (ยิ่งมากยิ่งแย่) 20 0
แคลอรี่ 122 97
ปริมาณพลังงานจากไขมัน 37 0
(ไม่ควรเกิน 30%)
อ่านข้อมูลจากตารางแล้วคิดว่าไงครับ ถ้าไม่นับ Alcohol ที่มีอยู่ในเบียร์ คุณคิดว่าดื่มนมหรือดื่มเบียร์ดีกว่ากันล่ะ
ด้วยข้อมูลใหม่ๆ เหล่านี้ ทำให้นมไม่ใช่แหล่งของโปรตีนและแคลเซียมที่ดีที่สุดอีกต่อไป ในเมื่อมีแหล่งโปรตีนและแคลเซียมอื่นที่ดีกว่า ทำไมเราจะไม่เลือกล่ะ?








Pitfall No.2 "การกินน้ำหวานหรือของหวาน ช่วยให้สดชื่นกระชุ่มกระชวย"

มีคนจำนวนมากที่เชื่อเช่นนั้น ทำให้เครื่องดื่มในกลุ่มของน้ำอัดลม น้ำหวาน ขนมนมเนย รวมไปถึงเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อต่างๆ ขายดิบขายดีมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นปัญหาร้ายแรง ถึงขั้นที่มีแพทย์หลายท่านต้องออกมารณรงค์เรื่องเด็กติดหวาน ทำให้เป็นโรคอ้วนตามมา
อย่างไรก็ตาม มีหลายคนทั้งที่รู้ถึงผลเสียของน้ำหวานและขนมหวานก็ตาม แต่ก็ยังตัดใจจากอาหารและเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ได้เสียที ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อไม่ได้กินแล้วไม่มีแรง จะขาดใจซะให้ได้ ความรู้สึกว่าไม่ได้กินของหวานแล้วไม่มีแรง เลยคิดว่าการกินหวานเป็นทางออก นั่นล่ะคือ Pitfall ที่คนส่วนใหญ่มักจะติดกับกัน ทั้งนี้ การดื่มน้ำหวานเวลามีอาการเพลีย นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ในระยะยาวจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ให้เรายิ่งแย่ลงไปอีก ทั้งนี เพราะว่าทุกครั้งที่มีการเผาผลาญน้ำตาล ร่างกายจะต้องใช้วิตามิน B ร่วมด้วยเสมอ ดังนั้น เมื่อกินน้ำตาลและเผาผลาญน้ำตาลมากๆ วิตามิน B ก็จะถูกใช้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ถ้าอาหารที่เรากินเป็นแต่น้ำหวาน ขนมหวานที่มีแต่น้ำตาล ไม่มีวิตามิน B เลย ท้ายที่สุดร่างกายก็จะเกิดภาวะพร่องวิตามิน B ตามมาได้ และอาการของภาวะพร่องวิตามิน B ก็คือไอ้อาการเหนื่อยเพลียเหมือนไม่มีแรงนี่แหละ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่น้ำตาลพวกนี้เผาผลาญเร็วมาก ดังนั้น อาการสดชื่นหลังจากดื่มน้ำหวานเข้าไปก็จะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เหมือนไฟไหม้ฟาง แต่ฮอร์โมน Insulin ที่มีหน้าที่ลดน้ำตาลในเลือด กว่าจะออกมาก็เป็นเวลาที่ระดับน้ำตาลได้ลดลงแล้ว ผลก็คือ Insulin ที่ออกมาทีหลัง จะกดระดับน้ำตาลที่ลดลงแล้วให้ยิ่งดิ่งเหวลงไปอีก ผลก็คือทำให้มีอาการหวิวเหมือนใจจะขาด ต้องรีบหาอะไรกินอีก ทำให้คนที่นิยมบริโภคหวานหิวบ่อยกินบ่อย หยุดไม่ได้สักที









Pitfall No.3 การกระชับหุ่นด้วยการอดอาหารและอาหารเสริมต่างๆ

ด้วยลัทธิบริโภคนิยมที่แพร่ระบาด เกิดวัฒนธรรมใหม่ของการรักสบาย ทุกคนมุ่งเน้นในการหาความสบายใส่ตัว ไม่วายเว้นไปถึงการรักษาสุขภาพที่อะไรสบายได้ก็ขอสบายไว้ก่อน ไอ้เรื่องออกแรงออกกำลังนั้นอย่าหวัง จึงเกิดวิธีการต่างๆ เพื่อให้หุ่นดีโดยที่ไม่ต้องออกกำลังกายขึ้น อันเป็นที่มาของการอดอาหาร (อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกกำลังกาย) หรือพวกอาหารเสริมต่างๆ ที่เน้นเรื่องแคลอรีต่ำๆ เข้าไว้ แล้วหวังว่าหุ่นมันจะดี
อันนี้ล่ะที่ทำให้หลายคนไปไม่ถึงเป้าหมายที่หวังไว้สักที ทั้งนี้ เนื่องจากว่าหลายคนเข้าใจความหมายของคำว่า "หุ่นดี" ผิด ดันไปคิดว่า "หุ่นดี = น้ำหนักน้อย" ดังนั้น จึงมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาอดอาหาร กินแต่อาหารเสริมจนผอมบักโกรก ก้นปอด แก้มตอบ ซูบซีดไปหมด แต่ก็ยังหุ่นไม่ดีสมใจเสียที
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ทุกครั้งที่เราขาดแคลอรี ไม่ว่าจะเป็นจากการอดอาหารหรือกินอาหารเสริมที่มีแคลอรีต่ำ ร่างกายจะดึงเอาพลังงานสำรองมาใช้ (ทำให้น้ำหนักลดลงจริงดังว่า) แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะดึงเอาแต่ไขมันมาใช้นะ มันใช้ทั้งไขมันและโปรตีนไปพร้อมๆ กันน่ะแหละ (แต่ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปตามแต่ระยะเวลาที่เราอด) เมื่อโปรตีนถูกใช้ นั่นก็หมายถึงกล้ามเนื้อที่ลีบฝ่อลง กลายเป็นผอมแบบเก้งๆ ก้างๆ หุ่นก็เลยไม่ดี ยิ่งทำไปนานๆ ร่างกายจะมีปริมาณ % Body fat มากขึ้น ทำให้หุ่นดูย้วยๆ หลวมๆ ลงกว่าเดิมเมื่อเลิกโปรแกรมการคุมอาหาร ดังนั้น ทางออกของเรื่องหุ่นดีและกระชับ จึงต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนเสมอ นั่นคือการควบคุมอาหาร + การออกกำลังกาย ไม่ใช่หวังพึ่งแต่การอดและใช้อาหารเสริมเพียงอย่างเดียว











Pitfall No.4 การกินเจเพื่อสุขภาพ

ในยุคนี้ที่คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ก็เริ่มมีความรู้กันว่าการกินเนื้อสัตว์มากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคต่างๆ จึงเริ่มมีกลุ่มคนที่หันมากินผัก กินผลไม้ กินมังสวิรัติกันมากขึ้น และแน่นอนว่าคนที่เคยกินเนื้อมามากๆ พอกินเนื้อน้อยลง สุขภาพต่างๆ ของพวกเขาก็กลับดีขึ้น ก็เลยกลายเป็นการบอกต่อกันไปว่า อาหารกลุ่มนี้ดีนะ ประกอบกับความเชื่อความศรัทธาทางศาสนา ก็เลยกลายเป็นเรื่องฮิตขึ้นมา มีการจัดเทศกาลกินเจขึ้นทุกๆ ปี
แต่ศรัทธาหรือความเชื่อใดที่ไม่มีปัญญามากำกับ ก็ย่อมมีผลกลับกลายตรงกันข้ามไปได้ เพราะอาหารเจส่วนหนึ่ง แทนที่จะเป็นผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืช ตามธรรมชาติ กลับมีการเติมแต่งสีและกลิ่นเข้าไป ทั้งผงชูรส การดัดแปลงอาหารมากขึ้นๆ จนไม่เหลือคุณค่าอาหารตามธรรมชาติ ร่วมกับสไตล์การทำอาหารเจบางอย่าง ที่ใช้น้ำมันในการผัดการทอดมากจนเกินไป ในที่สุดแทนที่สุขภาพจะดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนบางคนพอออกเจก็น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง สุขภาพแย่ลงแทน
ดังนั้น ถ้าอยากกินเจหรือมังสวิรัติให้สุขภาพดี ควรดูด้วยว่าเป็นอาหารเจที่เน้นผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืชที่มีเส้นใยและวิตามินสูง ในขณะที่ไม่ผ่านการดัดแปลง รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงจากเมนูอาหารที่ใช้น้ำมันมาก ถ้าทำได้ดังนี้แล้ว การกินเจของคุณก็จะได้ทั้งสุขภาพและบุญสมดังจุดมุ่งหมาย









Pitfall No.5 การดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ

เกรียวกราวกันจนฉุดไม่อยู่เลยครับ สำหรับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพตัวใหม่นี้ เรียกได้ว่าถ้าอยากจะให้อินเทรนด์ล่ะก็ อาหารหรือเครื่องดื่มอะไรถ้าพะยี่ห้อชาเขียวเข้าไป อาหารชนิดนั้นจะกลายเป็นอาหารเพื่อสุขภาพทันที ความนิยมที่ว่านี้รุนแรงถึงขั้นที่ว่า สามารถกระชากยอดขายของน้ำอัดลมประเภทน้ำดำลงมาจากบัลลังก์ได้
อย่างไรก็ตาม ชาเขียวคงไม่ใช่คำตอบของทุกๆ อย่าง จุดเริ่มต้นของชาเขียวมาจากการทดลองที่ค้นพบสารประกอบในกลุ่มของ Cathechin โดยเฉพาะตัวเอกของสารกลุ่มนี้คือ EGCG นักวิทยาศาสตร์พบว่า EGCG มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็งได้หลายชนิด ซึ่งจริงๆ แล้ว Cathechin ไม่ได้มีอยู่แต่ในชาเขียวเท่านั้น ชาดำหรือชาจีนก็มีด้วย แต่ในชาเขียวมีมากที่สุด
ด้วยคุณสมบัติที่ว่านี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่เห็นชาเขียวเป็นเหมือนน้ำอำมฤต รักษาได้ทุกอย่างตั้งแต่ ไขมันในเลือดสูง ป้องกันมะเร็ง แม้แต่ลดความอ้วนก็เกาะกระแสมากับเขาด้วย แต่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชาเขียวที่คุณควรรู้ก็คือ
1.ระดับของ EGCG ที่ใช้ในการจัดการกับมะเร็งนั้น เทียบเท่ากับการดื่มชาเขียวชงแบบเข้มข้นกันวันละ 10 แก้วกันเลยทีเดียว และของแถมที่ได้ไปด้วยก็คือสารที่มีชื่อว่า Tannin ที่จะทำให้ท้องผูกอีกต่างหาก ดังนั้น ถ้าต้องการกินชาเขียวเพื่อการนี้คงต้องหลีกเลี่ยงไปใช้แบบสกัดแทน ส่วนชาเขียวเจือจางผสมน้ำรสหวานๆ นั้นคงไม่ต้องพูดถึง
2.ถึงชาเขียวจะมีประโยชน์ แต่ปริมาณเล็กน้อยที่ใส่ลงไปในอาหารหรือขนมคงไม่ช่วยอะไรมากนัก กรณีของการลดความอ้วนด้วยชาเขียวก็เช่นกัน ถ้ากินแบบที่หวานๆ ก็จะได้น้ำตาลเข้าไปในปริมาณมากด้วย แทนที่จะผอมเผลอๆ จะอ้วนแทน ยิ่งใส่ในขนมเบเกอรี่ยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้น ชาเขียวที่มีในท้องตลาดวันนี้คงไม่ได้มีสรรพคุณมากเท่าใดนัก กินเล่นๆ สนุกๆ น่ะพอได้ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมต้องขอบคุณชาเขียวก็คือ ชาเขียวทำให้การรณรงค์ให้เด็กงดดื่มน้ำอัดลมที่เราพยายามมาอย่างยาวนานประสบผลเสียที









Pitfall No.6 การโด๊ปโปรตีนทำให้ร่างกายแข็งแรง

อาจเป็นความคิดเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง เด็กๆ ขาดโปรตีนกันเป็นแถว ดังนั้น ในสมัยนั้นคนไหนที่มีโปรตีนกิน ก็จะดูมีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดโปรตีนแหงอยู่แล้ว แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ปัญหาของคนปัจจุบันจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของการขาดโปรตีนอีกต่อไปแล้ว ในทางตรงกันข้าม ปัญหาส่วนใหญ่ของคนปัจจุบันคือ การบริโภคโปรตีนล้นเกิน โดยเฉพาะในหมู่นักเพาะกายทั้งหลายที่นิยมกินกันจัง
สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก็คือ โปรตีนที่บริโภคล้นเกิน ถ้าร่างกายเก็บไม่ทันจะถูกขับออกจากร่างกายหมด ไม่ค่อยได้เก็บไว้ ดังนั้นกินมากไปก็ไม่ได้ประโยชน์ แม้แต่ในอาหารสูตร Atkins diet ที่ให้กินโปรตีนมากและไม่มีแป้ง ในระยะยาวก็พบว่าทำให้กล้ามเนื้อลีบฝ่อเสียด้วยซ้ำ
ส่วนเรื่องพลังงานที่ได้ โปรตีนให้พลังงานที่เท่าๆ กับแป้งในปริมาณเท่าๆ กัน จึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งที่ว่า อยากแข็งแรงจะต้องกินโปรตีนเยอะๆ เพราะนอกจากโปรตีนจะให้พลังงานแค่พอๆ กับแป้งแล้ว ตัวมันเองยังเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายจะเลือกใช้เป็นอันดับท้ายๆ ด้วย เพราะการเผาผลาญโปรตีนจะได้ของเสียพวกยูเรียออกมามาก ไตจะต้องทำงานหนักขึ้น









Pitfall No.7 Vitamin A - Betacarotine

ในบรรดาอาหารเสริมทั้งหลายที่มีอยู่ตามท้องตลาด ตัวที่เด่นและมีใช้กันกลาดเกลื่อนที่สุดคงหนีไม่พ้น วิตามิน A, C และ E ด้วยความที่ว่า พวกมันมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เก่งกาจทีเดียว
วิตามิน A ที่พูดถึงและทำให้คนสับสนได้บ่อยๆ คือ วิตามิน A จากสัตว์ หรือ Retinol ซึ่งมีมากในน้ำมันตับปลา วิตามิน A - Retinol ตัวนี้มีโมเลกุลใหญ่กว่า และไม่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นใครที่อยากได้สารต้านอนุมูลอิสระ ก็ไม่ต้องไปหาน้ำมันตับปลามากินนะครับ แต่ต้องหาวิตามิน A จากพืช หรือ Betacarotine มาใช้จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์
อีกอันหนึ่งที่เรามักจะพลาดกันบ่อยก็คือ การเลือกวิตามิน A - Betacarotine ที่วางขายตามท้องตลาด ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า Betacarotine ในท้องตลาดมี 2 พวก พวกแรกคือพวกที่สังเคราะห์ขึ้น พวกที่สองคือพวกที่สกัดจากแหล่งธรรมชาติ เช่น สาหร่าย
D. sallena ให้เลือกแบบที่สกัดเพราะมีงานวิจัยพบว่า Betacarotine แบบสังเคราะห์ นอกจากไม่ช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งปอดเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เวลาเลือกจึงต้องเจาะจงชนิดที่สกัดจะดีกว่า
นอกจากนี้ คนที่กิน Betacarotine ในระดับสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน Betacarotine จะไปสะสมอยู่ที่ชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้ตัวออกเป็นสีเหลืองทองๆ จนบางคนอาจกังวลเข้าใจผิดว่าเป็นดีซ่าน จริงๆ แล้วอาการเหลืองจาก Betacarotine นั้นเป็นอาการเหลืองที่ปลอดภัย เพราะหยุดกินสักพักอาการเหลืองก็จะหายไปได้เอง แต่ถ้าไม่ได้กังวลกับมัน ผมแนะว่าให้กินต่อไปเหอะ เพราะว่า Betacarotine ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จะไปช่วยป้องกันผิวของเราไม่ให้เหี่ยวย่นได้เร็ว เป็นผลดีเสียอีก










Pitfall No.8 กินไวน์ทำให้สุขภาพดี

เริ่มมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า การกินไวน์ที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เคยคิดว่าเป็นผลเสียต่อร่างกายนั้น แท้จริงแล้ว ถ้าดื่มในปริมาณที่พอเหมาะกลับจะมีส่วนช่วยทำให้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง แน่นอนว่าหลังจากนั้นคอไวน์หลายๆ คนก็จะเอาข้อความดังกล่าวมาอ้างเพื่อให้ดื่มไวน์ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีขอให้ดูข้อมูลกันดีๆ อีกซักนิดหนึ่งครับ ว่าการดื่มไวน์ที่จะทำให้สุขภาพดีนั้นมีข้อแม้ว่าอย่างไร
1.การดื่มไวน์ที่ทำให้สุขภาพดี มีข้อแม้ว่าจะต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ คำว่าพอเหมาะก็คือไม่มากจนเกินไปด้วย ภาษาฝรั่งเขาว่า Moderate drinking หรือประมาณ 240 ml/วัน
2.สิ่งที่ทำให้ไวน์มีผลดีต่อสุขภาพหัวใจก็คือ สาร Flavonoid ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ซึ่งมีส่วนช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด, ช่วยลดไขมันในเลือด และมีคุณสมบัติช่วยลดโอกาสของการแข็งและหนาตัวของหลอดเลือด (แต่มีผลเฉพาะในเพศหญิงนะ) อย่างไรก็ดี เนื่องจากสารกลุ่มดังกล่าวมีอยู่มากในเปลือกองุ่นและก้านองุ่น ดังนั้นด้วยกระบวนการทำไวน์ขาวที่จะเอาส่วนดังกล่าวออกไป จึงทำให้ไวน์ขาวไม่มีผลดีต่อสุขภาพเหมือนเช่นไวน์แดง
3. นอกจากจะได้สารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว เรายังได้สารที่เป็นโทษต่อร่างกายจากการดื่มไวน์ด้วย นั่นก็คือ Alcohol นั่นเอง ถ้ามองในด้านมืดของไวน์ก็มีงานวิจัยออกมาเช่นกันว่า เช่น ผู้หญิงที่ดื่มไวน์ แม้จะน้อยเพียงแค่วันละแก้ว ก็มีโอกาสที่เป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงทั่วไป 10% ด้วย
ดังนั้น เรื่องของการดื่มไวน์เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพ คงยังเป็นประเด็นที่ต้องคิดพิจารณากันให้ดี นั่นคือถ้าจะดื่มก็ต้องดื่มให้พอเหมาะไม่มากจนเกินไป หรือถ้าตัดปัญหา คุณก็ยังสามารถหาสารต้านอนุมูลอิสระได้จากแหล่งอาหารอื่นๆ เช่น ผัก, ผลไม้ และข้าวกล้อง ที่ไม่ต้องมานั่งกังวลมากเท่าไวน์ว่าจะมีผลเสียหรือเปล่า







Pitfall No.9 การอบสมุนไพรและอบซาวน่า ยิ่งนานยิ่งดี

คนไทยบางคนจะเชื่อว่าการอบสมุนไพร การอบซาวน่า ยิ่งนานยิ่งดี ถึงกับเคยมีการมาแข่งนั่งทนในห้องซาวน่า ใครนั่งได้นานกว่าคนนั้นชนะ เป็นงั้นไป? ถ้าว่ากันตามตำราแล้ว การอบซาวน่าให้ได้ประโยชน์ตามแบบฉบับของชาวฟินแลนด์-เจ้าแห่งต้นตำรับฟินซาวน่า เขาบอกว่าควรจะร้อนเป็นเวลา 3-5 นาที แล้วสลับด้วยการแช่น้ำเย็น 1-2 นาที ทำเช่นนี้สลับกันสัก 3 รอบ และเพื่อให้ปฏิบัติตามนี้ได้เขาจึงมักสร้างห้องอบซาวน่าไว้ใกล้ๆ กับลำธารน้ำเย็น เพื่อว่าเวลาออกจากห้องซาวน่าจะได้กระโดดลงไปแช่ในน้ำเย็นได้อย่างทันท่วงที
การทำดังกล่าวเป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดี ซึ่งความรู้ดังกล่าวอาจดูขัดนิดๆ สำหรับความเชื่อของคนไทยที่ว่า ถ้าอากาศเปลี่ยนร้อนๆ หนาวๆ จะทำให้ไม่สบาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การอบร้อนสลับเย็นในสภาวะที่ร่างกายยังไม่เจ็บป่วย เปรียบเสมือนกับการซ้อมให้ร่างกายเคยชินกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง เวลาที่เจออากาศเปลี่ยนจริงๆ ร่างกายเราก็พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอากาศดังกล่าว ทำให้ไม่ป่วยได้ง่าย แต่ถ้าไม่สบายอยู่ล่ะก็นอนพักซะเถอะนะครับ รอให้หายก่อนค่อยไปอบร้อนสลับเย็นกันต่อ







Pitfall No.10 อยากสุขภาพดีต้องกินอาหารเสริม

หลังๆ เริ่มมีความเห็นของหลายคนว่า ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์จะต้องกินอาหารเสริมหรือวิตามินต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สำหรับคนปกติที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร การกินผัก ผลไม้ และกินข้าวกล้อง หลีกเลี่ยงจากอาหารแต่งสี แต่งกลิ่น ใส่ผงชูรส และทำการอดล้างพิษเป็นระยะๆ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องขวนขวายหาอาหารเสริมมากินกันอีก ยกเว้นกรณีของวิตามิน C 1,000 mg ที่อาจมีติดไว้ใช้ประจำบ้าน เวลาครั่นเนื้อครั่นตัวจะเป็นหวัดก็พอ ส่วนคนที่เจ็บป่วยเป็นโรคแล้วอาจจะต่างออกไป เพราะในการรักษาโรคบางทีเราต้องใช้วิตามินหรืออาหารเสริมเป็นปริมาณมากกว่าปกติ มากกว่าที่เราจะได้จากอาหารที่กิน ในกรณีเช่นนั้นคงต้องพิจารณาใช้เป็นกรณีๆ ไป แต่สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้วไม่จำเป็นต้องหามากินก็ได้